เปิดฉากทัศน์หลังคดีแพทองธาร รอด-ไม่รอด การเมืองไทยไปยังไงต่อ - iLaw (2025)

วันที่ 29 สิงหาคม 2568 เวลา 15.00 น. ศาลรัฐธรรมนูญนัดอ่านคำวินิจฉัยคดีของแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ว่าความเป็นรัฐมนตรีของแพทองธารจะสิ้นสุดลงหรือไม่ จากเหตุขาดคุณสมบัติ ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง จากปม “คลิปหลุด” บทสนทนาระหว่างแพทองธาร กับฮุน เซนอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา เกี่ยวกับประเด็นเขตแดนไทย–กัมพูชา

เปิดฉากทัศน์หลังคดีแพทองธาร รอด-ไม่รอด การเมืองไทยไปยังไงต่อ - iLaw (1)

ย้อนที่มาคดี สว. ส่งเรื่องไปศาลรัฐธรรมนูญปมคลิปเสียงคุยฮุน เซน

คดีนี้มีจุดเริ่มต้นจากการเผยแพร่คลิปเสียงบทสนทนาเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2568 จำนวน 2 คลิป คลิปแรกความยาว 9 นาที และคลิปเต็มความยาว 17 นาที บทสนทนามีเนื้อหาเกี่ยวกับการเจรจาประเด็นพื้นที่เขตชายแดนไทย-กัมพูชา ระหว่างแพทองธารกับ ฮุน เซน จนเกิดเป็นข้อวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากการที่แพทองธาร ในฐานะนายกรัฐมนตรี เรียกแม่ทัพภาคที่ 2 ว่า “เป็นฝั่งตรงข้ามกับเรา” การบอกกับ ฮุน เซนว่า “ถ้าท่านอยากได้อะไรก็ให้ท่านบอกมาได้เลยค่ะ เดี๋ยวจะจัดการให้” และการเรียก ฮุน เซน ว่า “UNCLE” (อา)

ต่อมาวันที่ 20 มิถุนายน 2568 สมาชิกวุฒิสภา (สว.) 36 คนนำโดยพล.อ.สวัสดิ์ ทัศนา ยื่นเรื่องผ่านประธานวุฒิสภาเพื่อส่งเรื่องไปศาลรัฐธรรมนูญ ขอให้วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 170 วรรค 3 ประกอบมาตรา 82 ว่า ความเป็นนายกรัฐมนตรีของแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวหรือไม่ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) ที่กำหนดให้ห้รัฐมนตรีต้องมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ไม่มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง และขอศาลรัฐธรรมนูญ มีคำสั่งให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 วรรคสอง พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 71 ประกอบข้อกำหนดศาลรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2562 ข้อ 40 (8) จากประเด็นคลิปเสียงดังกล่าว

ซึ่งเมื่อ 1 กรกฎาคม 2568 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 7 ต่อ 2 สั่งแพทองธารหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีจนกว่าจะมีคำวินิจฉัย

“แพทองธาร” รอด-ไม่รอด: 4 ความเป็นไปได้ ภายใต้ 2 ฉากทัศน์

แพทองธาร ชินวัตร นับเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 2 ที่ถูกยื่นเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ ต่อจากเศรษฐา ทวีสิน ด้วยประเด็นเดียวกัน หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้แพทองธารพ้นตำแหน่ง จะเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของการเมืองไทยว่าจะเดินไปในทิศทางไหนต่อ โดยคำวินิจฉัยออกมาได้เป็น 2 ฉากทัศน์ ดังนี้

1. แพทองธาร “รอด” กลับมาปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีต่อ

หากศาลวินิจฉัยว่าแพทองธารไม่ขาดคุณสมบัติ ไม่มีลักษณะต้องห้าม ไม่เป็นเหตุให้พ้นจากตำแหน่งสามารถแพทองธารจะสามารถกลับมาปฏิบัติหน้าที่ได้เหมือนเดิม แต่ยังมีความท้าทายที่ต้องเผชิญซึ่งสร้างความเป็นไปได้อีก 2 รูปแบบคือ

1) กลับมาปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีต่อจนครบวาระเดินหน้าแก้ไขปัญหาเร่งด่วนของประเทศโดยเฉพาะปัญหาความมั่นคงชายแดนไทย-กัมพูชา ปัญหาเศรษฐกิจ และฟื้นฟูความเชื่อมั่นจากประชาชน เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการเลือกตั้งทั่วไปในปี 2570

2) กลับมาปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีต่อ แต่ยังต้องรอลุ้นคดี มาตรา 144หลังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติรับเรื่องกล่าวหาเกี่ยวกับการจัดทำร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 ที่มีโครงการ “แจกเงินหมื่น” และงบประมาณเพื่อรองรับสถานการณ์ภัยแล้งฝนทิ้งช่วง ซึ่งถูกกล่าวหาว่าฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 144 ไปแล้วเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2568 หากป.ป.ช. เห็นว่ามีมูลและส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ถ้าศาลรัฐธรรมนูญฟันว่าขัดกับมาตรา 144 ก็จะส่งผลให้ต้องพ้นจากตำแหน่งได้อีกครั้ง ซ้ำรอยพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน จากกรณีเห็นชอบงบประมาณของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 144

2. แพทองธาร “ไม่รอด” พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าแพทองธารขาดคุณสมบัติ เป็นเหตุให้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีทันที และเมื่อนายกรัฐมนตรีพ้นตำแหน่ง คณะรัฐมนตรี (ครม.) จะพ้นตำแหน่งไปทั้งคณะด้วย ตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 167 (1) อย่างไรก็ดี ตามมาตรา 168 (1) กำหนดว่า ครม.ที่พ้นจากตำแหน่งอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป ภายใต้เงื่อนไขว่า กรณีพ้นจากตำแหน่งตามมาตรา 167 (1) ให้อยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่ ถ้าเป็นกรณีที่นายกรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งเพราะขาดคุณสมบัติตามมาตรา 160 (4) หรือ (5) นายกรัฐมนตรีจะอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปไม่ได้

หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยทางนี้ จะนำไปสู่ความเป็นไปได้ของฉากทัศน์ทางการเมืองอยู่ 2 แนวทางหลัก คือ

1) ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี อาจเลือก “ยุบสภา” เปิดทางให้มีการเลือกตั้งได้ อย่างไรก็ดี ประเด็นอำนาจยุบสภาของรักษาการนายกรัฐมนตรี ยังมีข้อถกเถียงอยู่ว่าทำได้หรือทำไม่ได้

ฝ่ายที่มองว่าทำได้ มีอำนาจเต็มเท่านายกรัฐมนตรี เช่น วิษณุ เครืองาม อมร วาณิชวิวัฒน์ อดีตโฆษกกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทยฝ่ายกฎหมาย

ฝ่ายที่มองว่าทำไม่ได้ ไม่มีอำนาจ เช่น ที่ปรึกษากฎหมายของรัฐอย่างคณะกรรมการกฤษฎีกา ปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการฯ เคยแจ้งต่อที่ประชุม ครม. เมื่อ 3 กรกฎาคม 2568 ว่า จากการศึกษาข้อมูลทางวิชาการของกฤษฎีกา มีความเห็นว่ารักษาการนายกรัฐมนตรีไม่สามารถยุบสภาได้ เพราะรัฐธรรมนูญไทยยึดโยงมาจากอังกฤษ

นอกจากความเห็นของปกรณ์ เมื่อพิจารณาตาม พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534มาตรา 48 วรรคหนึ่ง กำหนดว่า “ให้ผู้รักษาราชการแทนตามความในพระราชบัญญัตินี้มีอำนาจหน้าที่เช่นเดียวกับผู้ซึ่งตนแทน” ซึ่งอำนาจหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้ารัฐบาลตามกฎหมายดังกล่าว เช่น กำกับบริหารราชการแผ่นดิน โยกย้ายข้าราชการจากกระทรวงหรือกรมหนึ่ง ไปดำรงตำแหน่งในอีกกระทรวงหรืออีกกรม บังคับบัญชาข้าราชการฝ่ายบริหารทุกตำแหน่งซึ่งสังกัดกระทรวง ทบวง กรม และส่วนราชการ รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี จึงมีอำนาจหน้าที่ตามขอบข่ายของกฎพ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดินเท่านั้น

การยุบสภาผู้แทนราษฎรเป็นอำนาจที่รัฐธรรมนูญกำหนด ซึ่งรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด และมีลำดับชั้นทางกฎหมายสูงกว่าพ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน และการยุบสภายังเป็นอำนาจทางการเมืองอีกด้วย ซึ่งสอดคล้องกับหลักการแบ่งแยกอำนาจ เป็นการถ่วงดุลอำนาจของฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติ เป็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างนายกรัฐมนตรีกับสภาผู้แทนราษฎร กล่าวคือ นายกรัฐมนตรีที่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาเท่านั้นจึงจะมีอำนาจในการยุบสภาผู้แทนราษฎร

หากฉากทัศน์ออกมาทาง “ยุบสภา” คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ต้องจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ภายใน 45 วัน แต่ต้องไม่เกิน 60 วัน นับตั้งแต่วันที่พระราชกฤษฎีกายุบสภาใช้บังคับ (รัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 103)

2)สภาผู้แทนราษฎรจะต้องเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่เพื่อจัดตั้งรัฐบาลต่อไป โดยเลือกจากแคนดิเดตในบัญชีที่พรรคการเมืองเสนอไว้ในการเลือกตั้งทั่วไปเท่านั้น โดยใช้เพียงเสียงของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) เลือกนายกรัฐมนตรี ไม่ต้องใช้เสียงสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ร่วมโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีอีกเหมือนกรณีเศรษฐา ทวีสินที่ศาลฯ มีคำวินิจฉัยให้พ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เนื่องจากขาดคุณสมบัติ ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และมีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง จากปมทูลเกล้าฯ แต่งตั้งพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีทั้งที่เคยต้องคำพิพากษาจำคุกฐานละเมิดอำนาจศาล

ขั้นตอนเลือกนายกฯ ใหม่ ต้องการเสียง สส. เกินครึ่ง

เปิดฉากทัศน์หลังคดีแพทองธาร รอด-ไม่รอด การเมืองไทยไปยังไงต่อ - iLaw (2)

หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้แพทองธารพ้นตำแหน่ง สภาผู้แทนราษฎรจะต้องเลือกนายกรัฐมนตรีจากบัญชีรายชื่อพรรคการเมือง โดยขั้นตอนตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 159 มีดังนี้

1) พรรคการเมืองที่มี สส. ในสภา ไม่น้อยกว่า 5% (25 คน) สามารถเสนอชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี จากบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองเคยแจ้งไว้ในการเลือกตั้งทั่วไป ตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 88 กำหนดให้พรรคการเมืองส่งบัญชีรายชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีได้ไม่เกิน 3 ชื่อ

การเสนอชื่อผู้สมควรได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี จะต้องเสนอชื่อผู้ที่มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 160 และจะต้องมี สส. รับรองด้วยจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งใน 10 ของ สส. ทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ในสภาผู้แทนราษฎร จากข้อมูล ณ วันที่ 27 สิงหาคม 2568 มี สส. ทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ 492 คน ดังนั้นจำนวนผู้รับรองในการเสนอชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 จะอยู่ที่ 50 คน

2) สภาผู้แทนราษฎรลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี จากผู้ได้รับการเสนอชื่อ โดยขั้นตอนการเลือกนายกรัฐมนตรีจะทำโดยเปิดเผย กล่าวคือ ใช้วิธีการเรียกชื่อ สส. แต่ละคนและให้ สส. ลงคะแนนเลือกนายกรัฐมนตรี ผู้ที่ได้รับเลือก จะต้องมีคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวน สส. ทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร เมื่อมี สส. ทั้งหมด 492 คน เท่ากับว่าต้องได้คะแนนเสียงตั้งแต่ 247 เสียงขึ้นไปจึงจะได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี

หลังจากสภาผู้แทนราษฎรเลือกนายกรัฐมนตรีแล้ว ขั้นตอนต่อมาคือนายกรัฐมนตรีจะต้องนำรายชื่อรัฐมนตรีขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อให้พระมหากษัตริย์โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งต่อไป โดยในขั้นตอนนี้ รัฐธรรมนูญ 2560 ไม่ได้กำหนดกรอบเวลาไว้

เปิดชื่อ 5 แคนดิเดตนายกฯ ที่เหลืออยู่

นับถึงวันที่ 27 สิงหาคม 2568 มีแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีห้าคนจากสี่พรรคการเมืองที่มี สส. ในสภาไม่น้อยกว่า 25 คน ประกอบด้วย

  1. ชัยเกษม นิติสิริ พรรคเพื่อไทย
  2. อนุทิน ชาญวีรกูล พรรคภูมิใจไทย
  3. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พรรครวมไทยสร้างชาติ
  4. พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค พรรครวมไทยสร้างชาติ
  5. จุรินทร์ ลักษณะวิศิษฐ์ พรรคประชาธิปัตย์

สำหรับพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีเงื่อนไขพิเศษที่แตกต่างจากแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีอีกสี่คน พล.อ.ประยุทธ์ได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็นองคมนตรี ตั้งแต่วันที่ 29 พฤศจิกายน 2566 ตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 12 กำหนดคุณสมบัติองคมนตรีว่า ต้องไม่เป็น สส. สว. หรือดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่น และต้องไม่แสดงการฝักใฝ่ในพรรคการเมืองใดๆ ดังนั้นหากพรรครวมไทยสร้างชาติเสนอชื่อพล.อ.ประยุทธ์ และสภาผู้แทนราษฎรมีมติเลือกพล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จะต้องลาออกจากตำแหน่งองคมนตรีถึงจะมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้

เช็กเสียง สส. ในสภา หากต้องโหวตเลือกนายกฯ ใหม่

เปิดฉากทัศน์หลังคดีแพทองธาร รอด-ไม่รอด การเมืองไทยไปยังไงต่อ - iLaw (3)

ข้อมูลถึงวันที่ 27 สิงหาคม 2568 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดที่ 26 มี สส. ที่ทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ 492 คน จาก 16 พรรคการเมือง

พรรคร่วมรัฐบาล 253 คน ประกอบด้วย

  1. พรรคเพื่อไทย 140 คน
  2. พรรครวมไทยสร้างชาติ 36 คน
  3. พรรคประชาธิปัตย์ 25 คน
  4. พรรคกล้าธรรม 25 คน
  5. พรรคชาติไทยพัฒนา 10 คน
  6. พรรคประชาชาติ 9 คน
  7. พรรคชาติพัฒนา 3 คน
  8. พรรคไทรวมพลัง 2 คน
  9. พรรคเสรีรวมไทย 1 คน
  10. พรรคประชาธิปไตยใหม่ 1 คน
  11. พรรคไทยก้าวหน้า 1 คน

พรรคฝ่ายค้าน 239 คน ประกอบด้วย

  1. พรรคประชาชน 143 คน
  2. พรรคภูมิใจไทย 69 คน
  3. พรรคพลังประชารัฐ 20 คน
  4. พรรคไทยสร้างไทย 6 คน
  5. พรรคเป็นธรรม 1 คน

ทั้งนี้ หากย้อนดูทิศทางการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี โดยเปรียบเทียบกับการลงมติเลือกแพทองธาร ชินวัตร เมื่อ 16 สิงหาคม 2567 พบ ว่ามีพรรคการเมืองที่แสดงจุดยืนเป็นพรรคฝ่ายค้านอย่างไทยสร้างไทย สส. 6 คน ด้านพรรคฝ่ายค้านเดิมที่เปลี่ยนไปจับมือเป็นพรรคร่วมรัฐบาลอย่างพรรคประชาธิปัตย์ สส. 25 คนโหวต “งดออกเสียง” และมีงดออกเสียงอีกจากประธานและรองประธานสภาผู้แทนราษฎร

เมื่อหักลบผู้ที่ดำรงตำแหน่งประธานและรองประธานสภา พรรคเพื่อไทยจะเหลือ สส. ที่ลงมติได้ 138 คน พรรคประชาชาติ 8 คน เท่ากับว่าพรรคร่วมรัฐบาลจะมีเสียงที่ลงมติเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบได้ 250 เสียง ขณะที่คะแนนเสียงเห็นชอบที่ต้องการคือ 247 เสียง ดังนั้น หากพรรคร่วมรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นพรรคเพื่อไทย พรรครวมไทยสร้างชาติ หรือพรรคประชาธิปัตย์ เสนอชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี แล้ว สส. ในพรรคร่วมรัฐบาลโหวต “งดออกเสียง” เหมือนกรณีเลือกแพทองธาร ก็อาจทำให้ผู้ได้รับการเสนอชื่อรายนั้น “ไม่ได้รับความเห็นชอบ” แล้วต้องเสนอชื่อใหม่อีก

RELATED POSTS

กรรมาธิการกฎหมายฯเห็นพ้องว่า“ก้องต้องได้สอบ”จี้มหาวิทยาลัยรามคำแหงต้องเข้ามาชี้แจงเปิดแฟ้มคดีม. 112 ของนักการเมืองจากยุคเสื้อแดงสู่ชุมนุม’63ปล่อยตัว 5 นักโทษ ม.112 เข้าหลักเกณฑ์พ.ร.ฎ.อภัยโทษฯ

เปิดฉากทัศน์หลังคดีแพทองธาร รอด-ไม่รอด การเมืองไทยไปยังไงต่อ - iLaw (2025)

References

Top Articles
Latest Posts
Recommended Articles
Article information

Author: Lakeisha Bayer VM

Last Updated:

Views: 5329

Rating: 4.9 / 5 (49 voted)

Reviews: 80% of readers found this page helpful

Author information

Name: Lakeisha Bayer VM

Birthday: 1997-10-17

Address: Suite 835 34136 Adrian Mountains, Floydton, UT 81036

Phone: +3571527672278

Job: Manufacturing Agent

Hobby: Skimboarding, Photography, Roller skating, Knife making, Paintball, Embroidery, Gunsmithing

Introduction: My name is Lakeisha Bayer VM, I am a brainy, kind, enchanting, healthy, lovely, clean, witty person who loves writing and wants to share my knowledge and understanding with you.